
มัสยิดกมาลุลอิสลาม




สถานที่ท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
มัสยิดกมาลุลอิสลาม ที่เที่ยวกรุงเทพ มัสยิดในกรุงเทพ บรรพบุรุษของมัสยิดกมาลุลอิสลาม อพยพมาจากรัฐไทรบุรีทางตอนใต้ของประเทศไทย เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 บรรพบุรุษได้ช่วยกันถากถางป่าที่รกร้างจนกลายเป็นทุ่ง จับจองที่ดินทำกิน ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้านใหญ่ในเวลาต่อมา
ส่วนใหญ่บรรพบุรุษนั้นจะนับถือศาสนาอิสลาม ประกอบอาชีพเกษตรกรรม คือการทำนา ซึ่งการจัดตั้งมัสยิดหลักแรกของตำบลแห่งนี้ คือใช้บ้านทรงไทย จะเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาในวันศุกร์ และใช้เป็นศูนย์กลางประจำหมู่บ้าน โดยผู้ที่อุทิศ ชื่อ บาเฮม เป็นผู้ที่มีความรู้ทางศาสนาคนหนึ่ง และเป็นผู้มีฐานะดีในสมัยนั้น ต่อมามีผู้อุทิศ (วากัฟ) โดยให้เป็นที่สร้างมัสยิดรวมกัน 4 พี่น้อง คือ ฮัจยีดะมัน ภรรยาชื่อฮัจยะห์มีเนาะ,โต๊ะมัง โต๊ะสะมัง, ฮัจยะห์ฮาลีเมาะห์, เนาะเซียะห์ โดยหลังจากที่ฮัจยีดะมันได้เสียชีวิต ฮัจยะห์มีเนาะห์ ได้นำโฉนดที่ดินมามอบให้กับปะจิ๊สะเมาะ ขำเดช
เพื่อทำการสร้างสุเหร่า ทั้งหมดจำนวน 60 ไร่ โดยมีผู้บริจาคไม้มาสร้างมัสยิดเป็นเรือนไม้ใช้ประกอบพิธีละหมาดแทนบ้านหลังเดิม มัสยิดหลังไม้มีอายุประมาณ 70 ปี ซึ่งประชากรขยายเพิ่มมากขึ้นสัปปุรุษจึงได้รวมความคิดและลงมติว่าจะต้องขยายมัสยิดให้กว้างขวางขึ้นจึงช่วยกันซื้อทรายมาขึ้นกองไว้ ก็จะมีคนนำมากองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นกองใหญ่กองค้างอยู่นาน โดยผู้คนที่เดินทางผ่านไปมามองเห็นกองทรายทุกครั้ง จึงเรียกติดปากว่า “ทรายกองดิน”
ในสมัยรัชการที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเสด็จประภาสคลองแสนแสบโดยทางเรือกลไฟ เมื่อปี พ.ศ. 2450 มาทางทิศตะวันออก เมื่อมาเข้าเขตสุเหร่า เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง นายท้ายเรือบังคับเรือเข้าฝั่งให้ช่างเครื่องแก้ไข พระองค์ท่านก็ขึ้นมาเดินบนฝั่ง อยู่สักพักเครื่องยนต์ก็ใช้ได้ พระองค์ท่านลงเรือกลับ อยู่มาไม่นาน ก็มีเรือโยงกลไฟนำหินมา 10 ลำ ทราย 10 ลำ ทหารขนขึ้นมากองไว้นานพอสมควร ชาวบ้านไม่เคยเห็นกองหิน กองทรายใหญ่โตขนาดนี้ ก็พูดว่า “ทรายกองดิน”
ได้ทรงแวะมาเยี่ยมเยียนมัสยิดซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นเรือนไม้หลักเล็กๆ และมีกองทรายกองใหญ่เตรียมไว้สำหรับสร้างอาคาร พระองค์ทรงตรัสถามว่า “กองทรายเหล่านี้ไว้ทำไม” และได้รับคำตอบว่าเพื่อสร้างสุเหร่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านจึงเรียกมัสยิดนี้ว่า “สุเหร่าทรายกองดิน” และทางราชการก็ใช้เป็นชื่อตำบลจนถึงปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารมัสยิดเริ่มมาจนแล้วเสร็จ เป็นตัวอาคาร มีความกว้าง ยาว 46 เมตร ใช้ทำพิธีละหมาดเรื่อยมา เป็นเวลาประมาณ 80 ปี
อาคารมัสยิดปัจจุบันได้สร้างเป็นอาคารหลังใหม่ โดยรอบอาคารมัสยิดเดิมซึ่งมีอายุกว่า 200ปี มัสยิดจึงได้ปรับปรุงอาคารมัสยิดใหม่โดยอนุรักษ์ของเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยหลังคาของตัวอาคารเดิมที่มุงด้วยกระเบื้องเก่าแก่โบราณสู้แดดสู้ฝนมานับร้อยปี พื้นอาคารสั่งทำพิเศษตามแบบฉบับของดั้งเดิม ที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้ไว้ เพดานไม้สักซึ่งใช้ต้นซุงทั้งต้นเพื่อทำเป็นคานยึดพื้นทั้งหมดไว้ด้วยกัน
ทำจากไม้สักที่มีอายุเก่าแก่และยังคงความสมบูรณ์ไว้อย่างครบถ้วน ประตูและหน้าต่างทรงโค้งที่เรียงรายเป็นทิวแถวสองด้านคือสุดเขตของอาคารเก่า มัสยิดได้ขยายอาคารออกไปให้โอ่โถงกว้างขวางมากยิ่งขึ้น พื้นที่ในมัสยิดสามารถรองรับผู้คนได้มากกว่าพันคน มิมบัรทำจากไม้สักสลักลวดลายโดดเด่น ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในมัสยิด
นับเป็นโบราณวัตถุเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มัสยิดนั้นได้ปรับปรุงบูรณะตลอดมา เพื่อใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน โดยตัวอาคารภายนอกของมัสยิดโดยในปัจจุบันมีการก่อสร้างขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว้างขวาง และสง่างามขึ้นเพื่อรองรับการใช้งาน และการทำกิจกรรมของคนในชุมชนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน โดยมัสยิดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งการรวมจิตใจของชาวชุมชนแห่งนี้ สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่รอบ ๆ บริเวณมัสยิดเป็นสวนสวย มีต้นไม้เขียวชอุ่ม ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม เพื่อต้อนรับทุก ๆ คนที่แวะมาเยือน
ด้านหน้าของมัสยิดที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำนั้นหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชน ฝูงปลานา ๆ ชนิดหลายแสนตัวแหวกว่ายผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาทักทายผู้คนที่รอคิวให้อาหาร ซึ่งตลอดทางเดินมีหลังคาสีเขียวธรรมชาติสบายตา ระโยงระยานไปด้วยม่านไทรย้อยที่โรยตัวทักทายเราไปตลอดทาง จึงทำให้ที่นี่เป็นที่พักกายพักใจของผู้คนในชุมชนแห่งนี้ โดยฝั่งตรงข้ามของฝั่งคลองเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีการสอนที่ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็กนักเรียน
ซึ่งนักเรียนทั้งหลายคือคนรุ่นใหม่ที่จะพัฒนามัสยิดต่อไปในอนาคตข้างหน้า มัสยิดเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้แล้วมัสยิดยังได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กที่จะเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา และปลูกฝังการศึกษาให้แก่เด็กตั้งแต่เยาว์วัย โดยจัดทำหลักสูตรขึ้นเอง มีการสอนทั้งสามัญและศาสนา บูรณาการสอดแทรกวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไปด้วย
ซึ่งศูนย์เด็กเล็กแห่งนี้นั้นจะอยู่ภายใต้การบริหารของมัสยิดกมาลุลอิสลาม โดยปัจจุบันประชาชนในละแวกนี้ประกอบอาชีพรับจ้าง ค้าขาย รับราชการและมีส่วนน้อยที่ยังทำไร่ทำนาอยู่ สาเหตุเพราะที่ดินส่วนใหญ่ถูกท่ายเทกรรมสิทธิ์ครอบครองไปยังนายทุน ฐานะทางเศรษฐกิจจึงอยู่ในระดับปานกลาง พอมีพอกิน โดยมีจำนวนประชากรทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ครอบครัว ซึ่งคิดเป็นจำนวนประชากรประมาณ 20,000 คน ที่กระจายอยู่ในแขวงทรายกองดินใต้
มัสยิดกมาลุลอิสลาม ทรายกองดิน นั้นเป็นมัสยิดที่เก่าแก่มีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบ 200 ปี โดยมีบรรพบุรุษของชาวมุสลิมในบริเวณนี้อพยพมาจากรัฐไทรบุรีทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่3 ชุมชนบริเวณนี้แต่เดิมประกอบอาชีพเกษตรกรรม นั่นคือการทำนาในที่ดินถากถางป่ารกร้างจนกลายเป็นเถือกสวนไร่นา
ในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเสด็จประพาสคลองแสนแสบโดยเรือยอร์ดชัยยา เมื่อปี พ.ศ. 2450 พระองค์นั้นได้ทรงแวะมาเยี่ยมเยียนมัสยิด ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นเรือนไม้หลังเล็ก ๆ และมีกองทราย กองดิน กองใหญ่วางเตรียมไว้สำหรับสร้างอาคาร พระองค์นั้นจึงตรัสถามว่า ”กองทรายกองดินเหล่านี้มีไว้ทำไม” และได้รับคำตอบว่า ก็เพื่อสร้างมัสยิด นับแต่นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านจึงเรียกมัสยิดแห่งนี้ว่า "สุเหร่าทรายกองดิน"
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 20 กันยายน 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เสด็จประพาสคลองแสนแสบ พระองค์ท่านได้ทรงพระราชทานต้นตะแบกและปล่อยปลาที่หน้ามัสยิด เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลาและรักษาสิ่งแวดล้อมทำให้ วันที่ 20 กันยายน ของทุกๆ ปี เป็นวันอนุรักษ์คูคลองแห่งชาติ และทำให้ชาวชุมชนแห่งนี้ได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่งอกงามอยู่ในใจเหล่าพสกนิกรเฉกเช่นเดียวกับดอกตะแบกนี้ที่กำลังชุช่อเบ่งบานอย่างสวยงามเป็นที่สุด
อาคารมัสยิดปัจจุบันนั้นได้สร้างเป็นอาคารหลังใหม่ รอบอาคารมัสยิดเดิมซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี โดยมัสยิดนั้นได้ปรับปรุงอาคารมัสยิดใหม่โดยอนุรักษ์ของเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยหลังคาของตัวอาคารเดิมที่มุงด้วยกระเบื้องเก่าแก่โบราณสู้แดดสู้ฝนมานับร้อยปี พื้นอาคารสั่งทำพิเศษตามแบบฉบับของดั้งเดิม ที่รัชกาลที่5ทรงพระราชทานให้ไว้ เพดานไม้สักซึ่งใช้ต้นซุงทั้งต้นเพื่อทำเป็นคานยึดพื้นทั้งหมดไว้ด้วยกัน โดยทำจากไม้สักที่มีอายุเก่าแก่และยังคงความสมบูรณ์ไว้อย่างครบถ้วน ประตูและหน้าต่างทรงโค้งที่เรียงรายเป็นทิวแถวสองด้านคือสุดเขตของอาคารเก่า โดยมัสยิดได้ขยายอาคารออกไปให้โอ่โถงกว้างขวางมากยิ่งขึ้น พื้นที่ในมัสยิดสามารถรองรับผู้คนได้มากกว่าพันคน
มิมบัรนั้นทำจากไม้สักสลักลวดลายโดดเด่น ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในมัสยิด นับเป็นโบราณวัตถุเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มัสยิดได้ปรับปรุงบูรณะตลอดมา เพื่อใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน โดยตัวอาคารภายนอกของมัสยิดในปัจจุบันมีการก่อสร้างขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว้างขวาง และสง่างามเพื่อรองรับการใช้งาน และการทำกิจกรรมของคนในชุมชนที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน ซึ่งมัสยิดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งการรวมจิตใจของชาวชุมชนแห่งนี้ สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รอบ ๆ บริเวณมัสยิดเป็นสวนสวย ซึ่งมีต้นไม้เขียวชอุ่ม ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม เพื่อต้อนรับทุกๆ คนที่แวะมาเยือน
ด้านหน้าของมัสยิดที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชน ฝูงปลานา ๆ ชนิดหลายแสนตัวแหวกว่ายผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาทักทายผู้คนที่รอคิวให้อาหาร ซึ่งตลอดทางเดินมีหลังคาสีเขียวธรรมชาติสบายตา ระโยงระยานไปด้วยม่านไทรย้อยที่โรยตัวทักทายเราไปตลอดทาง ทำให้ที่นี่เป็นที่พักกายพักใจของผู้คนในชุมชนแห่งนี้ ฝังตรงข้ามของฝั่งคลองเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
มีการสอนที่ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็กนักเรียน ซึ่งนักเรียนทั้งหลายคือคนรุ่นต่อไปที่จะพัฒนามัสยิดต่อไปในอนาคตข้างหน้า มัสยิดนั้นจึงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน ซึ่งนอกจากนี้แล้วมัสยิดยังได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม ก็เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กที่จะเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา และปลูกฝังการศึกษาให้แก่เด็กตั้งแต่เยาว์วัย โดยได้จัดทำหลักสูตรขึ้นเอง มีการสอนทั้งสามัญและศาสนา บูรณาการสอดแทรกวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไปด้วย ซึ่งศูนย์เด็กเล็กแห่งนี้อยู่ภายใต้การบริหารของมัสยิดกมาลุลอิสลาม
ปัจจุบันประชาชนในละแวกนี้ประกอบอาชีพรับจ้าง ค้าขาย รับราชการและมีส่วนน้อยที่ยังทำไร่ทำนาอยู่ เพราะที่ดินส่วนใหญ่ถูกท่ายเทกรรมสิทธิ์ครอบครองไปยังนายทุน ฐานะทางเศรษฐกิจจึงอยู่ในระดับปานกลาง พอมีพอกิน จำนวนประชากรทั้งสิ้น 2,000 ครอบครัว คิดเป็นจำนวนประชากรประมาณ 20,000 คน กระจายอยู่ในแขวงทรายกองดินใต้ แขวงทรายกองดิน และแขวงแสนแสบ





แสดงความเห็น
คำค้น (ขั้นสูง) |
Facebook Fanpage