Rating: 3.3/5 (7 votes)
พิธีกวนข้าวทิพย์ของวัดบันได
วันเปิดทำการ: ทุกวัน
เวลาเปิดทำการ: 08.00 - 17.00 น.
ช่วงเวลา วันขึ้น 13-14 ค่ำ เดือน 6
ความสำคัญ พิธีกวนข้าวทิพย์ได้ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณีไทยสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในหมู่ของชาวพุทธทั่วไป เพื่อระลึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหตุการณ์ที่นางสุชาดาได้กวนข้าวทิพย์ในวันขึ้น 14 ค่ำ แล้วนำไปถวายพระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ 1 วัน โดยถือว่ามีผลานิสงฆ์มาก ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธจึงพร้อมใจกันกวนข้าวทิพย์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เทิดทูนพระเกียรติคุณด้วยความกตัญญูกตเวทิตาธรรม
ข้าวทิพย์มธุปายาสนี้เชื่อกันว่า เมื่อได้ทำครบถ้วนตามพิธีแล้ว ก็จะเป็นสิริมงคลแด่ผู้ทำและผู้บริโภค จึงสมควรจะเซ่นสรวงเทพารักษ์ หากผู้ที่ได้บริโภคข้าวทิพย์แล้ว จะประสบโชคลาภต่างๆ นานา ปราศจากโรคาพยาธิ ภัยพิบัติ และประสบสิ่งที่เป็นมงคล
พิธีกรรม วัตถุที่กวน ได้แก่ น้ำนมโคสด (ในปัจจุบันใช้นมข้นหวานแทน) ชะเอมเทศ น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลกรวด น้ำตาลหม้อ ข้าวตอก ข้าวเม่า ธัญพืชต่าง ๆ ที่คั่วสุก งา ถั่ว ลูกเดือย เมล็ดแตง เผือกมัน เมล็ดบัว มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก่ ผลไม้สด ผลไม้แห้ง เช่น มะม่วง กล้วย ละมุด ลำไย ทุเรียน ส้ม ขนุน เป็นต้น ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมเท่าที่จะหาได้หรือปรับปรุงให้มีรสชาติ หอมหวาน อร่อย ตามความต้องการของผู้กวนในแต่ละท้องถิ่น บางท้องที่อาจใช้ผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มีการจัดเตรียมการในพิธีกวนข้าวทิพย์ ต้องจัดเตรียมสิ่งสำคัญ ดังนี้
ต้องปลูกโรงพิธีขึ้น 1 หลัง โดยให้กว้างใหญ่พอสมควร เพื่อตั้งโต๊ะบูชาพระพุทธรูป อาสน์สงฆ์ โต๊ะบูชาเทวรูป และที่ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธี คือ พราหมณ์ โหร (ผู้ที่มีความรู้ในพิธีกรรมอย่างดี) เทพยดา, นางฟ้า, นางสุชาดา, สาวพรหมจารี และทายก ทายิกา ฯลฯ นั่งฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และก่อเตาตั้งกะทะกวนภายในโรงพิธี โดยจัดหาพายสำหรับกวนกะทะละ 3 เล่ม จัดหาฟืนให้เพียงพอและตากให้แห้งสนิท โรงพิธีทาสีขาว เครื่องประดับตกแต่งควรใช้เครื่องขาว ซึ่จะตั้งราชวัฏ ฉัตร ธง ผูกต้นกล้วย อ้อย ทั้ง 4 มุม หรือครบ 8 ทิศยิ่งดี จากนั้นแล้วยกศาลเพียงตาขึ้นไว้ในทิศที่เป็นศรีของวัน คือ ทิศที่เทวดาสถิตในวันกวน ซึ่งตั้งเครื่องสังเวย คือ หัวหมู, บายศรี, เป็ด, ไก่, ขนมต้มแดง, ขนมต้มขาว, มะพร้าวอ่อน, กล้วย และมีการจัดที่นั่ง การให้โหร นั่ง 1 ที่ และจัดให้เทวดาและนางฟ้านั่งเรียงแถวหน้ากระดานดังนี้
แถวที่ 1 จัดให้ท้าวมหาพรหมกับพระอินทร์นั่งข้างหน้า
แถวที่ 2 มหาราชทั้งสี่
แถวที่ 3 นางฟ้า
แถวที่ 4 นางสุชาดา นั่งข้างหน้าสาวพรหมจารี
- จัดเตรียมตะลอมพอก หรือยอดเทวดา 6 ยอด ที่สมมติว่าเป็นท้าวมหาพรหม พระอินทร์ (ท้าวสักกะ) ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวเวสวัณ มงกุฎนางฟ้า 4 และมงคลสวมศีรษะสาวพรหมจารี ใช้มงคลด้ายแบบมงคล ตัดจุก หรือใช้ดอกมะลิร้อยให้เป็นวงกลม เรียก มงคลดอกไม้ ให้ครบจำนวนเตาละ 2 คน สมมติว่าเป็นบริวารของนางสุชาดา
ศาสนพิธีจัดที่บูชา 2 ที่ คือ
- โต๊ะบูชาพระพุทธรูปหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ ถ้าสถานที่ไม่อำนวย มีไม้มหาโพธิ์ใส่กระถางตั้งไว้ด้านหลังพระพุทธรูป ส่วนประกอบอื่นเหมือนการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั่วไป
- โต๊ะบูชาเทวรูป มีพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ เป็นต้น ตามสุดแต่จะหาได้ พระฤาษี 5 ตน แต่ถ้าหายากก็ต้องให้ได้อย่างน้อย 1 ตน สมมติเป็นฤาษีกไลยโกฏ มีเครื่องบูชาเช่นเดียวกัน โดยจัดตั้งอาสนะสงฆ์ด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปให้สูงกว่าพื้นที่สัปบุรุษทายกทายิกา และผู้เข้าร่วมพิธีนั่ง
การแต่งกาย โหราจารย์ ให้นุ่งผ้าขาวโจงกระเบน โดยให้สวมเสื้อชั้นในชั้นนอกสีขาว แขนยาว มีสไบเฉียง 1 ผืน โดยถ้ามีเสื้อครุยให้สวมเสื้อครุยแทนสไบเฉียง ส่วนเทวดานั้นก็แต่งตัวเหมือนกับโหราจารย์ นางฟ้า จึงควรเลือกสตรีสาวรูปงามใส่ นุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง และสวมมงกุฎ
นางสุชาดาและสาวพรหมจารี นั้นจะแต่งชุดขาวทั้งชุด นุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง โดยนางสุชาดาควรเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว แต่สาวพรหมจารีควรเป็นเด็กหญิงที่ยังไม่มีประจำเดือน หรือสตรีที่ยังไม่เคยต้องประเวณี และต้องกราบพระเป็นและรับศีลได้แต่จะพบว่าปัจจุบันความเคร่งครัดในเรื่องการแต่งกายได้ลดลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ โดยผู้เข้าร่วมพิธีจึงแต่งกายสวยงามตามสมัยนิยมแทนก็มีพระปริตรใช้สวดในพิธี ได้แก่ เจ็ดตำนาน ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร และมหาสมยสูตร
เจ็ดตำนานกับธรรมจักรกัปปวัตนสูตรใช้สวดก่อนทำพิธีกวน มหาสมยสูตรสวดเมื่อกำลังกวนปี่พาทย์และฆ้องชัยปี่พาทย์บรรเลงเมื่อก่อนเจริญพระพุทธมนต์แล เมื่อจบแล้ว เมื่อสวมตะลอมพอกหรือสวมยอดมงกุฎแลมงคล เมื่อพระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เมื่อออกเวียนทักษิณรอบโรงพิธี และเมื่อเทน้ำนมหรือเครื่องกวนลงในกะทะ
ฆ้องชัยตีเมื่อประกาศเชิญเทวดา เมื่อพระสงฆ์สวดมนต์จบทุกๆ บท เมื่อสวมตะลอมพอกมงกุฎแลมงคล และเมื่อนางสุชาดาเทน้ำนมและเครื่องกวนลงในกะทะ
กำหนดพิธีในสมัยโบราณจะทำพิธี 2 วัน คือ
พิธีตอนเย็น มีการสวดพระพุทธมนต์ (เริ่มสวดมนต์เย็น) ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 โดยพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เจ็ดตำนานและธรรมจักรฯ
พิธีตอนเช้า วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 โดยเมื่อก่อนจะถึงเวลากวน จะมีพิธีพราหมณ์และพิธีสงฆ์รวมกัน และจะทำการกวนจนเสร็จ ซึ่งในกรณีที่มีการกวนจำนวนมากหลายกะทะ พอรุ่งเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 โดยจัดถวายเป็นพุทธบูชาและถวายพระสงฆ์
ในปัจจุบันนิยมทำเสร็จภายในวันเดียว คือ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ตอนเช้าจะมีการเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งพิธีพราหมณ์และพุทธ หลังจากนั้นก็จะทำพิธีกวนไปจนเสร็จ ซึ่งอาจเสร็จสิ้นในเวลากลางคืน พอรุ่งเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็จะทำพิธีถวายเป็นพุทธบูชา ถวายพระสงฆ์และแจกจ่ายแก่ผู้ร่วมพิธีหรือบุคคลทั่วไป
สาระ
ประเพณีกวนข้าวทิพย์นั้นจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความศรัทธาความเชื่อที่ยังมีอยู่ของประชาชนทั่วไป และผู้นำในชุมชนที่จะร่วมมือกันอนุรักษ์ประเพณีนี้ไว้ เนื่องจากต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจของประชาชนจำนวนมาก ในการเตรียมการ การจัดหาอุปกรณ์ในการกวน แรงงานในการกวน และการเตรียมการ โดยเฉพาะเงินที่ใช้ในการจัดซื้อจัดหาสิ่งของต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งด้วยเหตุผลข้างต้นในปัจจุบันบางวัด บางท้องที่จึงเลิกประเพณีกวนข้าวทิพย์นี้ไป เพราะขาดความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ
หมวดหมู่: ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก
กลุ่ม: ศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี
ปรับปรุงล่าสุด : 4 เดือนที่แล้ว